เรื่องเล่า จาก NAVITA MELON FARM
" หนูขออ่านหนังสือพี่ก่อนวางขายได้ป้ะ เสร็จแล้วก็ขอจองเล่มนึง " นี่คือประโยคแรก หลังจากที่เพื่อนสนิทอนุญาติให้สัมภาษณ์น้องสาวสุดที่รัก ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลไตรโชคได้
น้องพริมเป็นลูกสาวคนสุดท้อง มีพี่สาวหนึ่งคนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเรามาตั้งแต่สมัยเรียน คุณพ่อคุณแม่ของทั้งคู่นอกจากจะทำงานประจำแล้ว (วิศวกร และพยาบาล) ยังเป็นเจ้าของกิจการนาวิต้า ฟาร์มเมล่อนที่ในความเห็นส่วนตัวแล้ว อร่อยที่สุดในสามโลก และลูกสาวทั้งสองคนก็มีความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยงานที่บ้านอย่างเต็มที่ มาถึงวันนี้ วันที่น้องสาวคนเล็กกำลังจะเรียนจบปริญญาโท กลับเข้ามาช่วยงานที่บ้านเต็มตัวนั้น เราเลยอยากรู้ว่าน้องมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
จริงๆแล้วเริ่มคิดว่าเราต้องทำต่อจากคุณพ่อตอนไหน?
“ ตั้งแต่หนูจำความได้ก็ยืนช่วยคุณแม่ขายเมล่อนอยู่หน้าบูธแล้วค่ะ ตั้งแต่อนุบาล เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็จะพาไปช่วยทำงานตลอด ไปไหนไปกัน ก็เลยคล้ายๆกับว่ารับรู้โดยธรรมชาติว่าเราเรียนจบแล้วต้องกลับมาช่วยพ่อนะ ต้องเรียนไปแนวๆนี้นะ แถมสกิลก็พัฒนามาแต่เล็กเลยค่ะ ตอนเด็กๆไม่รู้เรื่องก็อาศัยความเด็ก พอโตหน่อยก็ต้องเริ่มเพิ่มเทคนิคเข้าไป พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่พริมจะเป็นคนที่ไม่ชอบการถูกบังคับ ซึ่งคุณพ่อจะรู้ เค้าก็จะไม่พูดเลย ไม่เคยบังคับว่าต้องทำอะไร เรียนอะไร จบแล้วต้องกลับมานะ อะไรแบบนั้น แต่คุณพ่อเค้าแยบยลมากค่ะ เค้าดำเนินการให้พริมเข้าตามแผนที่เค้าวางไว้ได้ ”
ยังไง?
“ งานพวกสวน พวกฟาร์มการเกษตร สินค้า OTOP นี่มันจะมีกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มสมาชิกอยู่ค่ะ ก็จะมีการประชุมกันบ่อยๆ ตั้งแต่เล็กๆแล้วคุณพ่อก็จะพาพริมไปด้วย แล้วทุกครั้งเจอเกษตรกรคนอื่นๆเค้าก็จะบ่นปัญหาให้ฟัง เป็นเชิงปรึกษากันด้วย หนึ่งในนั้นคือลูกไม่ยอมกลับมาช่วยงาน พวกผู้ใหญ่เค้าก็คุยกันว่าเนียะ ขุมทรัพย์อยู่ตรงหน้า เด็กรุ่นใหม่มันมองไม่เห็น มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่มีคนมาสืบทอด พริมก็ฟังๆไป แล้วก็คิดว่า เอ้า คนอื่นไม่เห็น พริมนี่แหละเห็น พริมจะช่วยคุณพ่อเอง! ”
แล้วเธอก็กำหมัดทำท่าฮึดสู้ ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นมาก (เข้าทางคุณพ่อด้วยวิธีแยบยลเช่นนี้เอง)
แล้วตั้งแต่เด็กก็อยากช่วยคุณพ่ออยู่แล้ว มีอย่างอื่นที่ชอบหรืออยากทำมั้ย?
"มีค่ะ นอกจากที่พริมจะขายเมล่อนตั้งแต่เด็กแล้ว พริมยังชอบเข้าครัวตั้งแต่เด็กด้วย เวลาใครพาไปทานข้าวก็จะไปยืนดูแม่ครัวทำอาหารตลอด พอโตหน่อยก็เริ่มช่วยคุณแม่ทำ พริมจะหาเมนูมาฝึกทำที่บ้าน เป็นมาต้ังแต่เด็กแล้ว พอโตขึ้นเวลาคุณแม่เหนื่อยบางทีหนูก็ทำอาหารไว้ ให้ทุกคนทาน หรือจริงๆคือเหมือนบังคับให้ช่วยชิมแหละ ฮ่าๆ ช่วงไหนที่ขยันก็เป็นแม่ครัวเที่ยงคืน คือเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเช้า เตรียมมื้อเที่ยงใส่กล่องไว้ส่งไปที่ที่ทำงานให้พี่พลอยบ้าง ให้คุณพ่อบ้าง ส่วนคุณแม่จะชอบทานเป็นแนวซุป ซึ่งเราก็เตรียมซุปไว้ก่อนได้ คุณแม่อยากทานเครื่องอะไรก็เอามาใส่เติมเองได้ตามชอบ ทำให้ได้ฝึกทำอาหาร และได้ทานอาหารแบบที่เราชอบด้วยก็เลยรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่า Passion ของเราคือการทำอาหาร อยากเป็นเชฟ แต่ก็อยากช่วยงานพ่อด้วย ตอนแรกๆภาพมันไม่ค่อยชัดนะคะว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตดี จนเรียนปี 4 ที่พบเจออะไรหลายๆอย่าง ทำให้ตอนนี้ภาพอนาคตชัดเจนมากขึ้นว่าจะเดินไปทางไหนต่อ"
มันมีจุดเปลี่ยนอะไรมั้ย ที่อยู่ๆเราก็มองภาพอนาคตของตัวเองชัดขึ้นมา ?
"เมื่อก่อนพริมหาตัวเองไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการอะไร แล้วด้วยความที่ไฮเปอร์ เลยจะเป็นเจ้าโปรเจ็ค ชอบคิดชอบลอง ชอบทำอะไรใหม่ๆตลอดเวลา แต่ช่วงที่ต้องทำให้เสร็จแต่ละโปรเจ็คจะต้องตั้งใจมากๆ เพราะเราเริ่มอยากไปทำงานอันใหม่แล้ว คือสนุกกับการคิดอะไรใหม่ๆอยู่ตลอด ซึ่งบางครั้งทำให้โปรเจ็คมันไม่เสร็จ แต่โชคดีที่พี่สาว(พี่พลอย)เป็นแนวที่เริ่มทำอะไรแล้วต้องลุยจนเสร็จ พริมก็จะมีพี่สาวนี่แหละที่คอยกระตุ้น คอยสอนว่าเริ่มทำงานอะไรแล้ว ต้องตั้งใจทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วย ไม่งั้นต่อให้สิ่งที่ทำมามันดีมาก เป็นโปรเจ็คที่มีประโยชน์ สุดท้ายมันจะไม่มีใครได้ใช้เลย ตราบใดที่มันเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เป็นจุดเปลี่ยน โดยเฉพาะคุณพ่อที่พอประเมินการทำงานของพริม จะสอน และดุแรงเลยทีเดียว ฮ่าๆ (ใต้รอยยิ้มมีน้ำตาซ่อนอยู่)
พริมเลยกลับมานั่งวิเคราะห์ตัวเอง และออกแบบวิธีการทำงานของตัวเองใหม่ ให้เราตื่นเต้นและอินกับงานของเราทุกๆอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ พยายามทำงานให้เสร็จเป็นอย่างๆ แล้วค่อยเริ่มโปรเจ็คใหม่ ทีนี้ ตอนนั้นก็เริ่มคิดได้ว่าชีวิตเรานี่มันแบ่งเป็นสองข้างนะ คือข้างของชีวิต และข้างของสกิล (skill) บางทีชีวิตเรามั่วๆอยู่ ยังไม่รู้จะทำไรต่อ ทำอะไรก่อนหลังดี แต่เราก็ยังพัฒนาสกิลได้ อย่างเช่นเราต้องเรียนนี่ ทำอันนั้นเป็น รู้ภาษานี้ ก่อน ถึงจะเป็นแบบที่ต้องการได้ เราก็จะไปทุ่มกับสกิลก่อน ซึ่งมาค้นพบทีหลังว่าพอแยกออกเป็น 2 เรื่องแล้ว สกิลสามารถช่วย support ชีวิตได้ ทำให้ชีวิตเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พริมก็เลยแยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน แล้วพัฒนาไปพร้อมๆกัน
พอเรียนจบป.ตรี พริมก็เริ่มชัดเจนละว่าเราอยากเป็นเชฟ เพราะตอนเรียนก็ได้ไปฝึกงาน ไปลองทำงานหลายๆอย่าง แล้วเรื่องทำงานที่บ้านก็ชัดเจนมากขึ้นเพราะว่าพี่พลอยเรียนจบแล้วเข้ามาทำงานเต็มตัว ก็เลยวิเคราะห์กันได้ว่าในธุรกิจครอบครัวมันยังขาดตรงไหน พริมต้องเข้าไปช่วยตรงไหนก่อน"
รู้สึกยังไงที่ต้องทำสวนของคุณพ่อด้วย ไม่ได้มุ่งไปทางเชฟเต็มตัว
"พริมเคยคุยเรื่องนี้กับพี่พลอยเหมือนกัน คือเราไม่สามารถทิ้งธุรกิจที่พ่อสร้างมาได้ มันเหมือนการที่เราไม่เห็นสิ่งมีคุณค่าที่อยู่แค่ตรงหน้าเรา เราสองคนไม่เคยคิดเลยว่าจะไม่ทำต่อ แล้วพริมเองก็วางแผนการขยายบริษัทที่อยากทำ เล่าและประชุมกันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่างานที่ตามมาก็เยอะมากทีเดียว พริมก็เลยบอกพี่พลอยเล่นๆว่าพริมทำคนเดียวไม่ไหวน่ะ คือถ้าพี่พลอยแต่งงานก็ยังต้องช่วยพริมอยู่นะ ห้ามทิ้งเค้าน่ะ
ส่วนการคุยงานของพริมกับคุณพ่อ พริมก็ออกตัวไว้เลยเหมือนกัน เป็นการบอกความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน ว่าพริมจะช่วยพ่อนะ แต่พริมขอทำอาหารที่เป็นสิ่งที่เราชอบมากด้วย ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และต่อยอดจากของพ่อด้วย ลงตัวสุดๆ หนูพูดกับพ่อแบบนี้เลย ซึ่งพ่อก็โอเค และพร้อมสนับสนุนมาก"
เคยคิดมั้ยว่าถ้าวันนึงต้องเลือกจะทำยังไง?
"ไม่เคยค่ะ มันยังไม่ถึงจุดนั้น พริมคิดว่ามันไปด้วยกันได้นะ แค่แบ่งเวลาให้ดี คือความที่พริมอยากเป็นเชฟที่ดี การจะทำอาหารที่ดีได้ต้องเริ่มจากวัตถุดิบที่ดีก่อน ซึ่งมันคืองานของพ่อ พริมก็เลยคิดว่าน่าจะไปด้วยกันได้ ต้องลองดูค่ะ"
คุณพ่อยังทำงานอยู่มั้ย ตอนนี้ที่พี่สาวมาทำเต็มตัวแล้ว
"ทำค่ะ พอพี่สาวมาช่วย ทำให้พ่อไปดูแลส่วนการผลิตเมล่อนได้ใกล้ชิดขึ้น ได้ผลผลิตดีขึ้นมากๆ ส่วนพี่สาวจะดูแลส่วนของสำนักงาน หน้าร้าน การตลาด ทำให้การแบ่งส่วนงานค่อนข้างชัดเจนขึ้น จากเดิมที่พ่อแม่จะคุมเองทั้งสองส่วน
สำหรับคุณพ่อจะมีแนวทางทำธุรกิจคือ ความพอเพียง จึงไม่เน้นเรื่องการเพิ่มผลผลิต แต่เน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก แต่ส่วนตัวพริมเองมองว่าถ้าเราอยากให้ธุรกิจเราสามารถจ้างคนมาบริหาร หรือทำให้เป็นระบบมากขึ้น ส่วนหนึ่งคือการเพิ่มผลผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับตลาด ซึ่งเวลาพริมมีแนวคิดอะไรใหม่ๆ หรือคิดต่างจากพ่อ จะต้องทำเป็นเค้าโครงร่างโปรเจ็ค และไอเดียไปนำเสนอ เหมือนเป็นการ pitching ให้พ่อฟัง และด้วยพื้นฐานพ่อเป็นคนที่มีไฟมาก พอฟังโปรเจ็คไหนแล้วเห็นด้วย มันจะยิ่งทำให้ไฟลุกขึ้นมาทีเดียว สนุกมากๆเวลาได้แลกเปลี่ยนไอเดียกันในรูปแบบนี้ จากเดิมที่พ่อวางแผนจะเกษียณตัวเองแล้ว จะไม่ทำอะไรเพิ่มแล้ว ยกให้ไปทำกันต่อกันเองเลย พ่อก็จะรู้สึกสนุกกับพริมไปด้วย หลายๆครั้งพ่อก็จะเกิดไอเดียใหม่ๆ กลับมาช่วยกับคิดเพิ่มจากโปรเจ็คอันเดิมที่เคยเสนอไป จนได้เป็นแผนที่สมบูรณ์มากขึ้น ก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทำ กลายเป็นว่าตอนแรกที่พ่อบอกว่าจะเริ่มพักผ่อนละน่ะ พอไฟมันลุกที่นี้ยาวเลยค่าาา"
ทำงานแต่เด็ก คิดเรื่องงานตลอด ตอนเด็กๆได้เล่นกับเพื่อนบ้างมั้ย
"เล่นเหมือนเด็กปกติเลยเลยค่ะ แต่อาจจะต้องมีการแบ่งเวลาให้ดี เพราะเราต้องมาช่วยที่บ้านทำงานบ้างเล็กๆน้อยเท่าที่จะทำได้ตามอายุ หลักๆจะรับหน้าที่เป็นคนขายและดูแลการขายปลีก งานอีเว้นท์ต่างๆ รวมถึงทำระบบฝึกพนักงานขาย มันเลยทำให้เราได้เจอลูกค้า ได้คุยกับคนเยอะมาตั้งแต่เด็กๆ พริมเลยเริ่มคิดเรื่องจะขายของตั้งแต่ประถมอ่ะพี่ เหมือนมันเข้าเส้นเลือดไปแล้ว หลังจากนั้นเวลาเจออะไรที่เป็นจุดประกายไอเดีย เราก็จะวางแผนเรื่องงานของเราให้หัวต่อได้เรื่อยๆ จนบางทีคนอื่นบอกว่าดูเป็นคนซีเรียสเรื่องงานเกินไป แต่เรากลับสนุกกับมันนะ
สิ่งที่รู้สึกต้องปรับตัวในการคุยกับเพื่อนบ้างคือ บางครั้งเพื่อนที่เราอยากแชร์ไอเดีย อยากเล่างานที่เราคิดให้ฟัง แต่ที่บ้านเพื่อนไม่ได้เป็นแนวทำธุรกิจส่วนตัว เค้าก็จะไม่เข้าใจว่าเราคิดอะไร มองว่าฟุ้งบ้าง เวลาที่เราคุยกับเพื่อนก็ต้องรู้ว่าเค้าไม่ได้อยู่หน้างานเดียวกับเรา เราต้องฝึกอธิบายให้เข้าใจเราให้ได้ ซึ่งหลายๆครั้งก็ได้ไอเดียใหม่ๆจากมุมมองอื่นเพิ่มด้วย บางครั้งที่เราบ่นๆเรื่องงานกับเพื่อน ก็มักจะได้คำตอบกลับมาว่า เป็นลูกเจ้าของกิจการดีกว่าคนอื่นเยอะ สบายกว่า จะไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมต้องคิดมากด้วยทั้งที่ตัวเองโชคดีแล้ว ซึ่งที่จริงคือไม่ใช่เลย เจ้าของกิจการมันไม่ได้สบายอย่างที่คิด ไม่ได้ไปไหนก็ได้ตามใจ มันเป็นรูปแบบงานที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก ที่สำคัญเราไม่ได้ถูกเลี้ยงสปอยมาแบบนั้น อย่างที่บอกว่าให้ไปทำงานด้วยกันตั้งแต่เด็กๆแล้ว
ตั้งแต่เล็กๆพ่อจะให้รับรู้แต่เรื่องหนี้ของครอบครัวค่ะ เป็นแผนของคุณพ่อ รายรับไม่เคยบอก รายจ่ายบอกตลอด เราก็เลยรับรู้เรื่องธุรกิจตั้งแต่เล็กๆ แล้วด้วยความที่เราคิดเรื่องงานอยู่ตลอด เวลาคุยกับเพื่อนมันก็จะมีเรื่องงานออกมาด้วย บางครั้งเพื่อนก็จะงงๆว่าเราพูดอะไรอยู่น้า”
(ไม่เป็นไรน๊า พี่เข้าใจ พี่ก็เป็น ฮ่าๆ)
“แต่ก็มีหลายอย่างนะคะที่หนูไม่ได้ทำแบบคนอื่นๆ อาจจะเพราะต้องแบ่งเวลามาทำงานด้วย ซึ่งบางเรื่องหนูว่าหนูคิดถูกแล้วค่ะ อย่างเรื่องเที่ยวกลางคืนนี่พริมไม่เคยไปเลยนะ คิดว่ามันเสียเวลา เสียเงิน แล้วก็คงไม่มีความสุขในที่แบบนั้นด้วย จนเพื่อนๆว่าพริมแปลก แต่ว่าพี่ลองคิดดูดิ พออายุ 30 กว่าก็มีแต่คนบอกว่าเลิกแล้ว พอแล้ว ถ้ามันดีจริงๆคุณต้องไปได้ตลอดดิ ทำไมต้องมีเลิกแล้ว พอแล้วด้วย”
นี่พูดเหมือนศึกษาธรรมะมา
"ไม่ได้ศึกษาเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่พูดให้ฟัง คุณพ่อเค้าจะรู้เยอะแล้วก็จะสอนเราตลอดเลย เค้าว่าคนที่จะประสบความสำเร็จมักจะมีจุดเชื่อมโยงกัน พริมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนึงค่ะ"
ถ้าอย่างนั้น คุณพ่อวางแผนอนาคตให้ลูกๆไว้ว่ายังไง?
"คุณพ่อบอกว่า ธุรกิจที่ทำอยู่ตอนนี้คือขนาดกำลังดี ใช้คำว่า “พอเพียง” สามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องไปเอารัดเอาเปรียบใคร ถามว่าใหญ่โตขนาดไหน ก็ไม่ได้ใหญ่มาก เราทั้งครอบครัวยังต้องทำงาน เรามีทั้งส่วนของศูนย์กระจายสินค้า อยู่ที่ตลาดไท ส่งของขายของ ขึ้นรถ คือดูแลเราลูกค้าตั้งแต่วัตถุดิบคือจากสวน เมล่อนเราปลูกเอง ตั้งแต่หาเมล็ดพันธ์ุมาเอง เพาะกล้าเอง ปลูก บำรุงจนมีลูก โตก็ตัดมาส่งร้าน เช็คขนาด ดูคุณภาพ ไปจนถึงส่งของให้ลูกค้าเลย เรียกว่าตลอดทั้ง supply chain และนี่คือข้อได้เปรียบของเรา ที่เราคุมทั้งกระบวนการได้หมด สินค้าจึงมีคุณภาพสูง ไม่ค่อยพลาด
แต่ถ้าจะทำใหญ่กว่านี้ ขยายตลาด ขยายฟาร์ม ระดับร้อยล้านพันล้าน รูปแบบของธุรกิจเราก็จะต้องเปลี่ยนไปด้วย คุณพ่อไม่ได้ห้ามนะคะ บอกว่าถ้ามีปัญญาทำได้ก็ทำเลย เป็นคนค่อนข้างเปิดกว้าง อยากลองอะไรก็ได้หมด สำหรับพริมแล้วเรื่องนี้เป็นข้อดีของคุณพ่อมากๆ ที่ไม่เคยทำให้เราเสียความมั่นใจในการลองทำสิ่งใหม่ๆเลยค่ะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบหรอกค่ะ พริมต้องไปลองลงมือทำอีกเยอะ อย่างแรกหลังเรียนจบนี่ต้องลงไปลุยสวนซักพักเลยค่ะ รีบศึกษาจากพ่อก่อน"
จะเข้ามาทำงานกับพ่อเต็มตัวแล้ว มีอะไรกลุ้มใจมั้ย
"กลัวดื้อจนพ่อไล่ออกจากบ้านค่ะ ฮ่าๆ พริมเป็นเด็กแสบ นอกนั้นก็มีแค่ความเหนื่อยค่ะ ไม่ได้กลัวเหนื่อยนะคะ พริมลุยอยู่แล้ว (แอบเล่าให้ฟังว่าปีที่มีน้ำท่วมสวน ไปยกกระสอบปุ๋ยมาจนปวดหลังไปหลายวัน) แต่ความยากมันก็มีอยู่ตรงที่ เวลาเรารู้สึกเหนื่อยกับงาน ซึ่งมันเป็นงานที่พ่อแม่ทำมาเยอะกว่าเรามาก เหนื่อยมามากกว่าเรามาก มันทำให้เราไม่กล้าที่จะบ่นกับท่านโดยตรง เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ความเหนื่อยของเรายังไม่ติดฝุ่นเลย พ่อกับแม่ทำงานหนักมาตลอด เลี้ยงเรามาก็เหนื่อย เวลาพริมอยากจะบ่นอะไร ก็ทำให้ต้องคิดเยอะเหมือนกันค่ะ บางทีมันเป็นอารมณ์แค่อยากบ่นเฉยๆ บ่นแล้วสบายใจขึ้น บางทีอันนี้ก็เป็นประเด็นของธุรกิจครอบครัวเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าบ้านคนอื่นเป็นเหมือนกันไหม
ว่าแต่ พี่ว่าถ้าหนูไม่แต่งงาน หนูจะทำธุรกิจส่วนตัวลำบากมั้ย คือมันเป็นงานที่ไม่มีเพื่อนร่วมงาน เป็นงานที่ปรึกษาคนนอกครอบครัวในดีเทลลึกๆไม่ได้ พี่คิดว่ายังไงคะ?"
และคำถามอีกมากมายก็ตามมา
ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นจากรุ่นน้องผู้ที่เข้าใจตัวเองชัดเจนที่สุดในรุ่น แต่ก็ยังมีความถามมากมายที่รอคำตอบ เรื่องอีกมากมายที่ยังต้องเรียนรู้และลงมือทำ
รูปสุดท้าย: คุณสุวิทย์ ไตรโชค ผู้ก่อตั้ง บจก.นาวิต้า ขณะกำลังคัดเลือกเมล่อนด้วยตนเอง
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “ฉันนี่แหละ ลูกเถ้าแก่”
ข้อคิดและบทสรุปจากการสัมภาษณ์ทายาทธุรกิจ โดยพราวพร
Navita Melon Farm since 1986 ฟาร์มเมล่อนญี่ปุ่น 30 ปี จาก 'ความใส่ใจ' ส่งตรงถึงมือคุณ
www.navitafarm.com
LINE: http://nav.cx/aaSLq7
FB : Navita Melon Farm นาวิต้าฟาร์ม