รับส่วนลด 300 บาทสำหรับการซื้อครั้งแรก

เรื่องเล่า น้องไพลิน แห่งบ้านริมน้ำ

12 กรกฎาคม 2564
เรื่องเล่า น้องไพลิน แห่งบ้านริมน้ำ

มันมีอยู่วันนึงที่เราไปทำงานแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า

เฮ้ย นี่เราทำอะไรอยู่หรอ เรามานั่งทำแบบนี้เพื่ออะไรหรอ ?

น้องไพลิน ลูกสาวคนที่ 3 แห่งบ้านริมน้ำ


การพบกันของเรากับน้องไพลินนั้นผ่านหลายๆผู้ใหญ่ คือผู้ใหญ่ รู้จักกับผู้ใหญ่ แล้วต่างฝ่ายต่างก็แนะนำเราให้รู้จักกันอีกทีหนึ่ง ซึ่งกว่าจะพบกันได้นั้น กินเวลานานถึง 2 เดือนเต็มๆเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พบ และหลังจากได้พูดคุยกัน ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การรอคอยของเรานั้นไม่สูญเปล่าเลย

 

น้องไพลินแห่งบ้านริมน้ำ ชื่อนี้เป็นนามสมมติจากสถานที่ที่เราพบกัน วันนั้นเป็นวันแดดร้อน แล้วเราก็ถูกบอกทางให้ขับรถเข้าสู่ถนนคดเคี้ยวเล็กๆ ในทุ่งนากลางย่านนครชัยศรี ผ่านเหล่ารวงข้าวเหลืองอร่ามที่ชูหน้ารับแดดกันอย่างคึกคัก แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังให้ความรู้สึกว่า ที่นี่ เป็น In the middle of nowhere อยู่ดี

 

บ้านริมน้ำเป็นอาคารสูงชลูดที่สุดในบริเวณนั้น ซึ่งมี 3 ชั้น และอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีนตรงช่วงโค้งพอดี วิวจากตัวบ้านมองออกไปดูเงียบสงบร่มเย็น เหมาะแก่การมาพักผ่อนยิ่งนัก

 

“ อ้าว ทานข้าวมารึยังลูก ” คุณพ่อของน้องไพลินซึ่งเป็นแบบฉบับคุณลุงผู้ใจดียิ้มต้อนรับเราอย่างอบอุ่น พลางบอกให้เราทำตัวสบายๆ


หลังจากคุยสารทุกข์สุขดิบกันแล้วก็ได้ความว่า บ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่รวมเพื่อนๆ เป็นไดอารี่ของคุณลุงเอง

 

“ เป็นไดอารี่ คือยังไงคะ ”

ที่ตรงนี้ซื้อมา 10 กว่าปีละ ลุงก็จะมาทำเฉพาะวันหยุด ค่อยๆทำ เริ่มตั้งแต่ถมที่ ลงเสาเข็มเลย ค่อยๆปลูกต้นไม้ ค่อยๆต่อตัวอาคาร ทำเขื่อน ทีนี้ เราก็มีเพื่อนอยู่เยอะ ก็มีหลากหลายอาชีพ ลุงก็จะให้เค้ามาช่วยคนละหน่อย อย่างมุมโน้น เพื่อนคนนี้ทำให้ เก้าอี้ตรงนี้ เพื่อนอีกคนต่อให้ ต้นไม้ต้นนั้นเพื่อนก็แนะนำมาให้ปลูก แบบนี้ แล้วแต่ละคนก็มีช่วงเวลาที่เข้ามาทำงาน มาช่วยกันตกแต่งที่นี่ให้น่าอยู่ ทำเรื่องที่ตนเองถนัด ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ เป็นบันทึกความทรงจำของเรา กับเพื่อนที่ดีๆ แต่ไม่ใช่ว่าให้ทำฟรีนะ ลุงก็จ่ายเงินเค้าตามปกตินั่นแหละ

สุดท้ายแล้วเวลาเราแก่ตัวลงแล้วมาพักผ่อน ที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีๆกับเพื่อนของเรา นี่แหละ ที่ลุงเรียกบ้านริมน้ำว่าเป็นไดอารี่ล่ะ

 

“ ทำไมมาซื้อไกลขนาดนี้คะ? ”

อ้าว อีกไม่นานแถวนี้ก็เจริญแล้วหนู เมืองขยายตัวเร็วจะตาย เรามาตั้งหลักก่อนได้เปรียบดีออก

ระหว่างมองออกไปจากตัวบ้านซึ่งเป็นห้องกระจก มีที่นั่งแสนสบายให้ดูวิวแม่น้ำที่ยังคงเป็นธรรมชาติ ลุงก็เปิดผ้าม่านที่หลังคาขึ้นโชว์ ว่าห้องนี้ที่แท้จริงแล้วเป็นเรือนกระจก ตอนกลางคืนสามารถนอนดูดาวได้สบายๆ เห็นแล้วก็แอบอิจฉาน้องไพลินอยู่จริงๆ


“ ทำไมคุณลุงถึงให้น้องไพลินมารับช่วงต่อกิจการของคุณลุงคะ ”

เราเลี้ยงลูกๆมา เรารู้ว่าลูกคนไหนนิสัยเป็นยังไง ลูกคนไหนชอบแบบไหน คนไหนเหมาะกับการทำงานอะไร เรารู้นิ ลุงก็เลือกเค้าที่นิสัยใจคอ แต่ก็ถามเค้าด้วยว่าเค้าเองสมัครใจหรือไม่ อย่างน้องไพลินนี่เค้าเต็มใจกลับมาช่วย แล้วด้วยนิสัยเค้า จะคอยเป็นคนกลาง เชื่อมคนในครอบครัวเข้าด้วยกันตลอด ลุงเลยเห็นว่าไพลินเหมาะที่จะมารับช่วงกิจการต่อนี่แหละ แล้วก็ปรากฏว่าเค้าก็ทำได้ดีด้วยนะ

จังหวะนั้นน้องไพลินซึ่งดูเหมือนจะไปสั่งงานเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาพอดี คุณลุงเลยออกไปเดินเล่นให้เราคุยกันตามประสาเด็กๆ

“ ไพลินพูดไม่ค่อยเก่งนะคะ ” สาวน้อยเอวบางร่างเล็กออกตัวกับเราก่อนเลย

 

“ ไพลินมาเริ่มทำงานที่บ้านได้ยังไงคะ ”

ตอนแรกเรียนจบไพลินก็ทำงานข้างนอกค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร พี่สาว 2 คนก็ทำงานข้างนอกแล้วตอนนั้น ไม่มีใครมาช่วยคุณพ่อเลย ทีนี้ พอทำงานในบริษัทใหญ่ ก็อย่างที่รู้ คือสังคมมันก็หลากหลาย ก็มีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน มีอะไรมากมายให้ปวดหัว มันไม่ได้ปวดหัวกับงาน แต่ต้องมานั่งคิดว่า พี่คนนี้ชอบแบบนี้ จะเข้ากับเค้ายังไง พี่คนนี้จะให้ทำแบบนี้ ซึ่งมันไม่โอเค เรากลายเป็นหนึ่งในกลไกของเขา ก็ต้องหมุนไปตามระบบพร้อมๆกันกับคนอื่นๆ ไพลินก็เลยเริ่มรับกับระบบไม่ค่อยได้

จนวันนึงมันก็แว๊บเข้ามาในหัวว่า เฮ้ย นี่เราทำอะไรอยู่ เราอดทนเพื่ออะไร ได้เงินแล้วเอาไปทำอะไรหรอ คือเงินมันก็ตอบโจทย์เราระดับนึง ว่าได้ซื้อของที่อยากได้ แต่มันก็ดูเหมือนว่าเงินจะไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่แล้วจุดนั้น ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร นี่ต้องใช้เวลาเดินทางไปทำงานวันนึง 3 ชั่วโมงทุกวัน เครียดก็เครียด สุขภาพก็แย่ ทั้งๆที่ยังเด็กอยู่นี่แหละ (ปัจจุบันน้องไพลินเพิ่งอายุ 27 ปีเท่านั้น)

แล้วไพลินก็เลยกลับมามองที่ครอบครัว มามองที่บ้าน ก็เลยได้คำตอบในตอนนั้นเลย ว่าจะกลับมาช่วยที่บ้าน ที่จริงตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลยนะ แค่ตั้งใจว่าอยากมาช่วยคุณพ่อ มาดูแลคุณแม่ เห็นทั้งสองท่านเหนื่อย ก็อยากให้พัก เลยลาออกแล้วก็กลับมาเลย มาแบบงงๆ ฮ่าๆ และนี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า เกิดมาเพื่ออะไร อยู่ไปเพื่ออะไร อดทนเพื่ออะไร พอกลับมาทำที่บ้าน ตอนนี้มีคำตอบหมด ทุกสิ่งที่อย่างที่เราทำ คือเราช่วยพ่อแม่ เราได้ดูแลท่าน ลดภาระของท่าน ทำให้ท่านเหนื่อยน้อยลง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น แค่นี้ก็พอแล้ว” แค่คำตอบแรกนี่ก็ทำเอาเราหันมามองมุมใหม่ นี่คือน้องอายุ 27 แน่หรอ บางคน 40 ยังคิดไม่ได้แบบนี้เลย แล้วไหนว่าพูดไม่เก่ง?

 

“ แล้วตอนนี้คือน้องไพลินเข้ามาทำคนเดียว ? ”

ใช่ค่ะ พี่ๆทำงานข้างนอกอยู่ ก็รับเงินเดือนข้างนอกเลย พ่อกับแม่ไม่ได้ให้เงิน ส่วนน้องชายก็เห็นว่าจะทำข้างนอกอีกซักพัก ตอนนี้ไพลินเลยทำคนเดียวค่ะ ตอนนี้ก็เข้าปีที่ 3 แล้ว การตัดสินใจในบริษัทก็ซัก 30% ได้

 

“ ทำงานที่บ้านแล้ว work life balance ดีมั้ย ? ”

ไม่ค่อยมีนะ ฮ่าๆ ด้วยความที่อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง เวลาทานข้าวบางทีนึกเรื่องงานได้ก็พูดออกมา ก่อนนอนก็ปรึกษากันได้ ทำงานได้ตลอดเลยกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ไพลินไม่อึดอัดนะ คือมันก็โอเค ไม่ได้แย่ ไม่ได้เครียด เราก็ค่อยๆคิดค่อยๆทำกันไป แต่ตั้งแต่ทำงานที่บ้านนี่ชีวิตดีขึ้นมากเลยค่ะ ตื่นมาก็ทำงานได้เลย ไม่เสียเวลาเดินทางเลยแม้แต่วินาทีเดียว สามารถบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น ได้มีเวลาออกกำลังกายด้วย เพียงแค่ว่า สามารถคุยเรื่องงานได้ทุกที่ทุกเวลา

 

“ คิดว่าอะไรคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของการรับช่วงกิจการของคุณพ่อ ”เห็นคนอื่นเค้าว่าทะเลาะกับคุณพ่อคุณแม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับไพลิน ไพลินว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงนะ คือทำงานมันก็อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ปัญหาจริงๆคือ จะทำยังไงให้ธุรกิจยังอยู่รอดต่อไปมากกว่า ด้วยความที่ธุรกิจของไพลินเป็นธุรกิจขนาดเล็กๆ เวลามีอะไรภายนอกมากระทบก็ขึ้นลงตามกระแสเศรษฐกิจ ทำให้ค่อนข้างเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา แถมสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตลอด เทคโนโลยีเอยอะไรเอย เราก็ต้องคอยอัพเดตตัวเองเสมอๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปข้างหน้าได้ นี่ต่างหาก ที่เป็นปัญหาที่แท้จริง

อ้อ แต่มีอยู่เรื่องนึงค่ะ คือพอมาทำงานที่บ้านแล้วเหง๊า เหงาค่ะ แล้วสาวน้อยตัวเล็กคนนี้ก็ทำหน้าจิ้มลิ้มแถมประกายเว้าวอนทางสายตา

 

“ เพราะว่าไม่มีเพื่อนร่วมงาน ? ”

ใช่ค่ะ เพราะเวลาทำงานข้างนอก จะมีเพื่อนร่วงานที่อยู่ในระดับเดียวกัน อาจจะบริษัทเดียวกัน หรือคนละบริษัท แต่ถ้าทำตำแหน่งใกล้เคียงกันก็จะเจอสถานการณ์คล้ายๆกัน ก็จะมีคนบ่นด้วย มีคนปรึกษาด้วย เธอทำยังไงกับหัวหน้าแบบนี้ อะไรแบบนั้น แต่พอมาอยู่ที่บ้าน ไม่มีใครอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา เพื่อนร่วมงานก็เป็นลูกน้อง บ่นด้วยไม่ได้ เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันก็ไม่มีใครเข้าใจ บ่นกับใครก็ไม่รู้เรื่อง แถมเวลาว่างไม่ตรงกับชาวบ้านเค้าอีก เราทำงาน 24 ชั่วโมงจริง แต่มันก็มีช่วงว่างเวลาลูกน้องทำงาน ก็ไม่มีใครว่างคุยกับเรา แต่พอแบบ วันหยุดทีอะไรที แล้วออร์เดอร์เข้า เราก็ไม่ได้หยุดกับเค้า อย่างนี้เลยเหงามากเลยค่ะ” เราก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เป็นกันทุกคนเลยค่ะ พวกเราถึงควรจะรวมทีมกัน จริงมั้ย ?

 

“ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ทำอาชีพนี้ ไพลินอยากทำอะไร ? ”

โอ้โห คำถามนี้กำลังคิดอยู่เลยค่ะ ตอนนี้ก็เริ่มสนใจพวกอาหารสุขภาพค่ะ ก็เลยอยากศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนี้ ตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ แต่เห็นว่าน่าสนใจ แล้วก็น่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง และครอบครัวเราด้วย

“ มีแฟนมั้ย? แล้วถ้าแต่งงานจะให้แฟนมาช่วยที่บ้านรึเปล่า ? ”

มีค่ะ แต่ไม่ค่อยได้เจอกันเลย ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเลยค่ะพี่ ฮ่าๆ แต่ว่าตอนนี้แยกกันทำงานค่ะ ถ้าถามตอนนี้ก็คงจะตอบว่าไม่อยากให้มาทำด้วยกัน เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยง ฮ่าๆ


ตอนนี้เข้าใจคำคุณลุงแล้วที่บอกว่า เลือกไพลินเพราะไพลินเป็นคนที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพราะในทุกๆครอบครัว เราต่างก็ต้องการให้ใครซักคนเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วก็ช่วยกันทำให้ครอบครัวของเราแข็งแกร่ง และมีความสุขจริงมั้ยคะ และจากที่คุยกันมา ก็คงไม่มีใครเหมาะสมสำหรับหน้าที่นั้น มากไปกว่าสาวน้อยตรงหน้าที่มี maturity เกินอายุคนนี้อีกแล้ว

 

อยากจะบอกอะไรรุ่นน้องที่กำลังจะเข้ามรับช่วงต่อกิจการครอบครัว

ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงานเงินเดือน หรือมารับช่วงต่อกิจการ ล้วนแล้วแต่ เลือกทางเดินและทำให้ดีที่สุดในสถานการณ์ของตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขอให้มั่นใจและภูมิใจในการตัดสินใจของตัวเอง และอย่าท้อถอยกับอุปสรรคในการทำงาน ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ ค่อยๆคิดค่อยๆทำ ด้วยความเข้าใจ หาทางออกที่ลงตัว และเหมาะสมกับทุกฝ่าย ทุกสถานการณ์ ถึงแม้จะมารับช่วงต่อกิจการเหมือนกัน แต่สถานการณ์ของแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกัน ปัญหาที่ต้องก้าวผ่านก็อาจจะแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ เราทำเพื่อครอบครัว เราได้ดูแลพ่อแม่ และสิ่งที่พ่อแม่ได้ทำมาตลอดชีวิตของท่านเพื่อดูแลเรา


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “ฉันนี่แหละลูกเถ้าแก่” ข้อคิด และบทสรุปจากการสัมภาษณ์ทายาทธุรกิจ โดย พราวพร


บทความที่คล้ายกัน