รับส่วนลด 300 บาทสำหรับการซื้อครั้งแรก

เรื่องเล่า เจ้าของเภสัชกรขนาดใหญ่

13 กรกฎาคม 2564
เรื่องเล่า เจ้าของเภสัชกรขนาดใหญ่
คุณมุ้งมิ้งดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยตั้งแต่แรกเห็น ขัดภาพในใจที่คิดว่าทายาทร้านขายยาขนาดใหญ่ รวมไปถึงบริษัทซอฟท์แวร์ที่ร้านขายยาแทบจะทั่วประเทศและองค์การเภสัชกรรมเลือกใช้ และเป็นหนึ่งใน Co-founder ของบริษัท U drink I drive บริษัทน้องใหม่ที่กำลังเจิดจรัสอยู่ในสังคมขณะนี้ จะต้องเป็นผู้หญิงห้าวหาญมาดเท่ห์อย่างลิบลับ
เรื่องเล่า เจ้าของเภสัชกรขนาดใหญ่
ลด EGO ลงให้หมด ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว 
ค่อยๆเรียนรู้ ให้เวลากับงานที่อยู่ตรงหน้า และทำให้เต็มความสามารถ ณ จุดนั้น
: คุณมุ้งมิ้ง
…………………………………..
      คุณมุ้งมิ้งดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยตั้งแต่แรกเห็น ขัดภาพในใจที่คิดว่าทายาทร้านขายยาขนาดใหญ่ รวมไปถึงบริษัทซอฟท์แวร์ที่ร้านขายยาแทบจะทั่วประเทศและองค์การเภสัชกรรมเลือกใช้ และเป็นหนึ่งใน Co-founder ของบริษัท U drink I drive บริษัทน้องใหม่ที่กำลังเจิดจรัสอยู่ในสังคมขณะนี้ จะต้องเป็นผู้หญิงห้าวหาญมาดเท่ห์อย่างลิบลับ

เมื่อเราเล่าจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์ในวันนี้ให้คุณมุ้งมิ้งฟัง เรื่องราวต่างๆที่สวยงามราวกับความฝันก็พรั่งพรูออกมา
      “มิ้งเรียนจบ BBA จากจุฬาฯค่ะ แล้วก็เรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาฯ เหมือนกัน ตอนนี้ก็อายุย่างเข้า 30 ปีแล้วค่ะ
นั่นทำให้เราแปลกใจนิดหน่อย เพราะลูกเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักจะถูกส่งให้ไปเรียนต่างประเทศ ไม่ช่วงเวลาใดก็เวลาหนึ่ง
      เคยไปทดลองอยู่แล้วไม่ชอบค่ะ ทั้งอังกฤษ ทั้งอเมริกา เพราะว่าน้องสาวเรียนอยู่ที่นั่น มิ้งเป็นคนชอบคิดถึงบ้าน ถ้าอยู่นานๆจะ Homesick มากๆ เคยไปลองอยู่ 3 เดือนแล้วไม่ชอบ ก็เลยกลับมาเรียนในเมืองไทยดีกว่า 
      "ตอนที่เรียนป.โท ได้ทำโปรเจ็คจบเกี่ยวกับธุรกิจ U drink I drive ก็เลยคุยกันกับเพื่อนว่าอยากจะลงมือทำมันจริงๆ พอเรียนจบก็ลงมือทำกันเลย ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว
 
ทำไมถึงกลับมาทำงานที่บ้านล่ะ?
      ตั้งแต่เล็กๆคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเรามาอย่างดีมากๆ แล้วก็ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวบ่อยๆ มิ้งก็ได้เห็นการใช้ชีวิตของคุณพ่อ อาจจะทำงานหนักบ้าง แต่คุณพ่อก็ยังคงมีเวลาให้เรา มีเวลาออกกำลังกาย ไปตีกอล์ฟ มีเวลาไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศสัปดาห์ละ 2-3 วัน มิ้งก็เลยสนใจอยากรู้ว่าคุณพ่อทำงานยังไง เพราะมิ้งอยากใช้ชีวิตแบบคุณพ่อ ก็ต้องทำงานเหมือนคุณพ่อ 
      "ประกอบกับวันนึง คุณพ่อคุณแม่เริ่มติงเรื่อง U drink I drive ว่าเป็นการทำงานที่ไม่เป็นเวลา เราควรจะทำงานกลางวัน แล้วนอนตอนกลางคืน ไม่ใช่สลับกันแบบนั้น ซึ่งมิ้งเป็นคนทำงาน extreme อยู่แล้วด้วย อยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จด้วย ตอนนั้นได้นอนก็ตอนตี 5 ตื่นมาประมาณเที่ยงๆ ตอนบ่ายๆก็รับสมัครพนักงาน แต่งหน้าทำผมให้นักข่าวสัมภาษณ์ พอมืดก็เริ่มรับโทรศัพท์ละ ทำงานยาวไปจนถึงตี 5 เป็นแบบนี้ทุกวัน
ตอนนี้มิ้งก็เลยเลิกทำ U drink I drive เพื่อกลับมาช่วยงานคุณพ่อเต็มตัว จะได้นอนเป็นเวลามากขึ้น นอกจากนี้คุณพ่อให้เงินเยอะด้วยค่ะ ให้เยอะตั้งแต่เดือนแรกเลย” (ยิ้ม)
 

มีพี่น้องกี่คน แล้วทุกคนกลับมาช่วยที่บ้านมั้ย?
มิ้งมีสามพี่น้องค่ะ พี่สาวกับน้องสาว ทั้งสองคนกลับมาช่วยกันทำที่บ้าน พี่สาวเป็นเภสัชกรด้วย ช่วยได้โดยตรงเลยค่ะ
 
ตอนแรกที่กลับมาทำงานที่บ้าน เริ่มทำอะไรก่อน?
      “ด้วยความที่เรียบจบ 4.00 มา แถมเคยทำธุรกิจเองแล้วก็ประสบความสำเร็จดี ทำให้วันที่เรากลับเข้ามาในบ้าน กลับมาที่จันทบุรีนี่ EGO สูงมากๆ เป็นน้ำที่เต็มแก้วเลย แทบจะล้นแก้วด้วยซ้ำ ก็ลงมาดูๆงานอย่างละนิดอย่างละหน่อย ไม่ค่อยฟังใคร
แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงพวกเรามาแบบ soft soft คือเป็นผู้หญิงกันหมด จะไม่ค่อยมีดุแรงๆ ว่าแรงๆ บางทีแค่พูดธรรมดานี่ในบ้านก็น้ำตาซึมกันแล้ว พอกลับมาทำงาน คุณพ่อก็เลยค่อนข้างปล่อย ไม่ค่อยกำหนดว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้อิสระในการทำงานมากพอสมควร เราก็เลยยิ่งได้ใจเลย
      "ตอนนั้นเปิดสาขาใหม่ และยอดขายไม่ถึงครึ่งของเป้าหมาย มิ้งก็ไปพยายามเต็มที่ทุกวิถีทางอยู่พักนึง ทั้งทางทฤษฎีที่เรียนมา ประสบการณ์น้อยนิดที่มีก็เอามาใช้มาทดลองหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ยอดขายของสาขานั้นเพิ่มขึ้นได้ จนพี่ที่ทำงานกับคุณพ่อมานาน เป็นมือขวาของคุณพ่อลงมาช่วย พี่คนนั้นไม่ได้จบการศึกษาสูง แต่เป็นคนที่ทำงานมากับคุณพ่อ เป็นคนที่คุณพ่อสอนมาตั้งแต่เด็ก 

พี่เค้าใช้เวลาแค่แปปเดียวเองในการทำให้ยอดขายของสาขานั้นเติบโตเข้าเป้า เหมือนกับสาขาอื่นๆ 
นั่นจึงเป็นจุดที่มิ้งเพิ่งเริ่มคิดได้ว่า EGO ของมิ้งสูงไปจริงๆ เราควรจะให้พี่ๆเค้าสอนงานก่อนถึงจะถูก หลังจากนั้นก็เลยเริ่มศึกษางานจากพี่ๆที่ทำงานมานาน ทั้งมือขวา มือซ้ายของคุณพ่อ ลองทำทุกอย่าง จนค่อยๆเข้าใจระบบและวิธีการทำงานในบริษัทของเรามากขึ้น เข้าใจพนักงานเรา รวมไปถึงลูกค้าและตลาดมากขึ้นด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเรียนรู้จากพี่ๆอยู่เลย

คุณพ่อใจดีแบบนี้ เคยทำพลาดจนโดนดุมั้ย?
      “เคยค่ะ แต่แค่ครั้งเดียวเอง คือตอนนั้นเรามาใหม่ๆ ก็สั่งของให้มาส่ง เป็นขวดที่มีฉลาก พอของมาถึง ฉลากมันเบี้ยวไปเล็กน้อย ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่สังเกตุอะไร แต่มิ้งไม่ได้ เราไม่ได้คุยกันไว้แบบนี้ ก็เลยไม่รับของ ส่งกลับไป
      "ตอนนั้นคุณพ่อเรียกมิ้งมาว สอนเลยว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ของมันก็เบี้ยวไปนิดเดียว ไม่ได้เสียหายมากขนาดที่ใช้งานไม่ได้ แล้วเค้ามาส่งของถึงที่แล้ว ไหนจะค่ารถมาค่ารถไป ใจเขาใจเรา ถ้าพอได้ก็ให้รับไว้ นั่นเป็นครั้งเดียวที่คุณพ่อสอนมิ้งอย่างจริงจังเลย

 
คุณพ่อบังคับมั้ยว่าต้องเรียนอะไร หรือบังคับให้กลับมาทำงานที่บ้านรึเปล่า?
      “คุณพ่อไม่ได้บังคับเลยค่ะ แต่พี่สาวที่เรียนเภสัชฯเพราะว่าเค้าชอบจริงๆ มิ้งกับน้องสาวก็เลือกเรียนเอง แล้วคุณพ่อก็ไม่ได้บังคับให้กลับมาทำที่บ้านด้วย ถ้าอยากมาทำก็ได้ ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร แต่กลายเป็นว่า กลับมาทำกันหมดเลย อาจจะเพราะว่าคุณพ่อให้เงินดีด้วย แล้วให้อิสระในการทำงานและชีวิตค่อนข้างมาก” (ยิ้ม)
 

มีปัญหากับลูกน้องเก่าๆของคุณพ่อไหม?
      “โชคดีมากๆที่ไม่มีเลยค่ะ ทุกคนรักแล้วก็เอ็นดูเรา บางคนก็ดีใจด้วย บอกว่าลูกคุณหมอมาช่วยงานแล้วๆ
 
เห็นบอกว่าคุณมิ้งทำซอฟแวร์ให้องค์การเภสัชกรรมและร้านขายยาด้วย?
      “ใช่ค่ะ เป็นอีกบริษัทนึงที่ครอบครัวมิ้งดูแลอยู่ มันเริ่มมาจากการที่เราเป็นร้านขายยา แล้วมันไม่มี POS ซอฟแวร์ตัวไหนที่มันตอบโจทย์เลย พอดีเราสามารถหาโปรแกรมเมอร์ได้ ก็เลยเขียนโปรแกรมสำหรับร้านขายยาโดยเฉพาะขึ้นมา"
      "ตอนนี้ซอฟแวร์ก็มีการพัฒนาเรื่อยๆ เราก็เลยเปิดเป็นบริษัท เพื่อแบ่งปันให้กับร้านขายยาอื่นๆ แต่ว่าใครจะซื้อโปรแกรมของเราต้องมาดูงานที่ร้านเราก่อน เพราะว่าการทำร้านขายยาให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่มีโปรแกรม แต่มันรวมไปถึงการจัดวางสินค้า ระบบสต๊อกหน้างาน การบริหารบุคลากร และด้านอื่นๆด้วย เราก็เลยเปิดให้ร้านของเราเป็นเหมือนแหล่งศึกษางานทุกอย่างเกี่ยวกับการบริหารร้านยา ถ้ามาดูงานก็จะบอกหมดเลยว่าจัดร้านอย่างไร วางของอย่างไร สั่งซื้ออะไรเมื่อไหร่ ไปจนถึงการสอนใช้โปรแกรม ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องเดินทางไปดูที่จังหวัดจันทบุรี เนื่องจากเราต้องการให้เจ้าของร้านยาประสบความสำเร็จจริงๆ การที่เค้าเดินทางมาถึงจันทบุรี เพื่อมาดูงาน ถือเป็นการแสดงความตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างหนึ่ง หากเจ้าของร้านตั้งใจขนาดนี้แล้ว มีแนวโน้มสูงมากค่ะว่าเค้าจะประสบความสำเร็จในการทำร้านยาแน่นอน"
 

คุณพ่อยังทำงานอยู่ไหม?
      “ทำค่ะ แต่จะลดน้อยลงแล้ว บางวันก็ทำครึ่งวัน บางวันก็มีไปตีกอล์ฟ ไปเรียนดนตรี แล้วก็ยังคงไปบ้านพักตากอากาศต่างจังหวัดอยู่ทุกสัปดาห์"
      "คุณพ่อก็อายุ 62 แล้วค่ะปีนี้ งานที่ยังทำอยู่คือการสั่งซื้อของ เพราะว่าต้องประเมินคน ประเมินของ ต้องใช้ประสบการณ์ค่ะ 
นอกจากนี้ ที่จริงก็อยากให้คุณพ่อสอนงานมากกว่านี้ อยากเรียนรู้โดยตรงจากคุณพ่อด้วย นอกจากเรียนรู้จากมือขวามือซ้าย แต่คุณพ่อไม่ค่อยสอน อาจจะคิดว่าเปิดกว้างให้เรามีช่องว่างในการคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง รวมทั้งให้เราได้บริหารงานในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ได้พัฒนาในสไตล์องค์กรของคนรุ่นใหม่ค่ะ
 
มีเทคนิคการบริหารยังไงให้การรับช่วงต่อกิจการครอบครัวประสบความสำเร็จ?
      “งานของมิ้งคือต้องเข้าใจตัวเอง แล้วก็เข้าใจคน ทั้งคนนอกและคนใน เรื่องเข้าใจตัวเองนี่คุณพ่อจะคอยหาหนังสือมาให้อ่าน ไม่เชิงหนังสือธรรมะนะคะ แต่เป็นข้อคิดการใช้ชีวิตการจัดระบบความคิดของตัวเราเอง"
      "อย่างเช่นหนังสือของ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่สอนเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เราต้องทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆวัน ทำงานให้เป๊ะได้ แต่ต้องไม่ใส่อารมณ์ลงไปในงาน เราต้องไม่เครียด เวลาทำอะไรก็ต้องดูตัวเองให้ออก เช่น หากทีมงานทำงานไม่ถูกต้อง เราต้องแยกแยะว่านี่คือความโกรธนะ ความโกรธมาแล้วนะ เราไม่ควรตัดสินทีมงานด้วยอารมณ์เโกรธ และให้ความคิดเห็นที่ผสมอารมณ์ที่ไม่ดีไปใส่คนอื่นนะ พอจัดการกับอารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นได้ หรือเรียกว่ามีสติแล้ว ก็ค่อยลงไปจัดการกับงาน ค่อยๆอธิบายสิ่งที่ควรจะเป็นให้คนอื่นเข้าใจ หรือ สอบถามความคิดเห็นเพื่อช่วยกันพัฒนาต่อไป"
     "ส่วนเรื่องเข้าใจคนอื่น มิ้งจะเน้นหลัก Compassion หรือที่เรียกว่า เมตตาด้วยปัญญา  เนื่องจากร้านขายยาเป็นรูปแบบสาขาๆ แต่ละสาขาจะมีเภสัชกรเป็นผู้จัดการ ก็ให้เค้าอิสระผู้จัดการสามารถ บริหารทีมงาน เน้นหลักให้มีความสุข เราก็จะมีงบประมาณในการซื้อข้าวสารของทุกคน ทุกๆวัน ทำให้พนักงานสามารถที่จะทำอาหารแต่เฉพาะกับข้าว แล้วก็เอามาทานร่วมกัน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ นอกจากนี้ก็ยังมีงบประมาณส่วนหนึ่งจัดไว้ให้ผู้จัดการสามารถพาพนักงานไปทางร้านอาหารที่อยากทานร้านไหนก็ได้ เดือนละครั้ง เพราะด้วยความที่จันทบุรีเป็นจังหวัดเล็กๆ หลายๆคนก็มาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีโอกาสทานร้านอาหารดีๆบ่อยนัก เราก็สนับสนุนพวกเค้าตรงนี้"
      "เรามีนโยบายให้หุ้นกับพนักงานด้วย ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท แต่บริษัทเราไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์นะ ยังคงเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ ครอบครัวคนจันทบุรีอย่างแท้จริง ซึ่งตรงนี้คิดว่ามันโอเคมากเลย อย่างเวลาฝนตก หลังคารั่วนี่ พนักงานเค้าเครียด เค้าเดือดร้อนกว่าเราอีกนะ มันทำให้ทุกคนช่วยกันเก็บรายละเอียด ช่วยกันทำงานอย่างตั้งใจจริงๆ รวมทั้งเวลามีพนักงานใหม่ ทุกคนในสาขานั้นจะมีส่วนในการตัดสินใจรับหรือไม่รับเข้าทำงานด้วย เพราะถ้าเค้าตกลงใจรับเข้ามาแล้ว จะต้องดูแลพนักงานใหม่ให้ดี ต้องสอนงานอย่างละเอียด ต้องดูแลกันอีกมาก"
      "นอกจากนั้น ยังมีอีกนโยบายนึงที่ว่า พนักงานสามารถลาไปปฏิบัติธรรมได้ โดยยังได้รับเงินเดือนปกติเหมือนมาทำงาน เพราะครอบครัวเราค่อนข้างให้ความสำคัญตรงนี้มาก ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข

 
คุณมิ้งทำงาน เพื่ออะไรคะ?
      “เมื่อก่อนตอบได้เลยว่ามิ้งทำงานเพื่อพนักงาน มิ้งต้องการให้พนักงานอยู่สบาย ต้องการให้คนจันทบุรีมีรายได้ มีงานทำ สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ แต่พอทำๆไปแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเหตุผลนี้มันไม่พอแล้ว มิ้งก็เลยกลับมาคิดใหม่..."
 

เพิ่งไม่นานมานี้เอง ที่มิ้งได้คำตอบว่าทำงานไปเพื่ออะไร
 

      "มิ้งแค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองในวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ได้คิดว่าบริษัทของเราจะต้องใหญ่โต เข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือขยายสาขาให้ได้เยอะๆ ไม่เคยตั้งเป้าว่ายอดขายปีนี้จะต้องเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ มิ้งมีความสุขกับการทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน เราทำงานเหมือนกับที่คุณพ่อทำธุรกิจมา คุณพ่อเปรียบการทำธุรกิจเหมือนปลูกต้นไม้ จากเมล็ดเล็กๆ หมั่นคอยรดน้ำพรวนดินอย่างใส่ใจไปเรื่อย เมล็ดนั้นก็ค่อยๆเติบโต เป็นต้นกล้า ค่อยๆแข็งแรงขึ้น ใช้เวลาถึงตอนนี้ก็ 37 ปี ต้นไม้ต้นนี้ก็แข็งแรงและใหญ่ขึ้น จนสามารถเป็นร่มไม้ที่พักพิงได้  แถมยังออกดอกออกผล เราก็ได้นำดอกผลไปแบ่งให้เพื่อนได้ด้วย  (ในรูปแบบของ CW software หรือ ช่วยเหลือสังคมจันทบุรีในโครงการด้านการศึกษาและด้านสุขภาพเช่น โครงการวิ่ง-ปั่นการกุศล และโครงการจัดหาเครื่องมือแพทย์สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง) มิ้งพอใจที่จะทำงานแบบที่เราสามารถจัดสรรชีวิตตัวเองได้ อย่างเดือนหน้าจะไปเที่ยว เดือนนี้เราสามารถทำงานของเราเผื่อเอาไว้ได้เลย เวลาเราไม่อยู่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับคนอื่น เพราะเราสร้างระบบที่สามารถให้งานเดินไป อีกทั้งหากจำเป็นต้องทำงานจริงๆมือถือเครื่องเดียวก็สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา"
      "ในวันที่อยู่ที่จันทบุรี ในเมืองเล็กๆเงียบๆ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองเยอะ ได้ตกผลึกความคิดเยอะ ก็เลยเข้าใจตัวเองมากขึ้น ในวันทำงานมิ้งสามารถทำงาน พักเบรก 1 ชั่วโมงไปเล่นโยคะที่บ้าน แล้วกลับมาทำงานต่อ หรือสามารถไปหาคุณยายบ่อยๆได้ ซึ่งมิ้งชอบแบบนี้แล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกต้องการไขว่คว้าอะไรเพิ่มเติม มันก็อธิบายยากนะ พอจะเข้าใจไหม” (ยิ้ม)
 

อธิบายยากจริงๆ แต่พอจะเข้าใจ เพราะกำลังคิดแบบนี้เหมือนกัน
แล้วคุณมิ้งมี Passion ส่วนตัวอะไรบ้าง? การมาทำงานนี้ขัดกับตัวตนของตัวเองไหม?
      “ตอนนี้มิ้งชอบปลูกผัก กำลังทดลองแปลงผักเล็กๆที่บ้านเพราะคุณพ่อรักษาสุขภาพมาก เลยอยากจะปลูกผักที่ปลอดสารเคมีให้คุณพ่อทาน นอกจากนี้ก็เพิ่งมารู้ว่าชอบ Innovation อะไรก็ตามที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย ที่ช่วยสร้างความสะดวก หรือลดขั้นตอนการทำงาน นี่จะชอบมาก
ถามว่าการมาทำงานนี้ขัดกับตัวตนไหม ไม่ขัดนะ มิ้งสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างมีความสุขดี งานได้หล่อหลอมให้มิ้งมีเมตตาและมีปัญญามาขึ้นในทุกๆวัน  เรียกได้ว่า การทำงาน คือ การฝึกธรรมะ อย่างดีเลยค่ะ
 
มีอะไรอยากแนะนำรุ่นน้องบ้าง?
      “กลับมาทำงานที่บ้านอย่างแรกเลยคือต้องลด EGO ตัวเองลงมาก่อน ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะเรียนเก่งขนาดไหน ไม่ว่าจะเคยทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง แต่ทำงานที่บ้าน กิจการครอบครัว มันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน คนที่ทำงานมาก่อนย่อมชำนาญงานมากกว่าเรา อาจจะไม่ใช่ด้วยการศึกษา แต่ด้วยประสบการณ์ ให้ รับฟัง ค่อยๆเรียนรู้ สังเกต สิ่งที่คนอื่นทำอยู่หรือพยายามจะสอนก่อน ให้ทำตัวเป็นแก้วเปล่า รับทุกสิ่งมาให้หมด แล้วมานั่งพิจารณา นำสิ่งดีๆมาพัฒนาตัวเองและธุรกิจต่อไป
 
………………………..
 
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ฉันนี่แหละลูกเถ้าแก่” 
ข้อคิดและบทสรุปจากการสัมภาษณ์ทายาทธุรกิจ โดย พราวพร
 

 


บทความที่คล้ายกัน