2 เทคนิค กำหนดตำแหน่งทางการตลาด ให้ติดตลาด
1. กำหนดตำแหน่งสินค้าตามคุณภาพ ราคา
ไม่ว่าสินค้า และบริการของเราจะเป็นอะไร สิ่งสำคัญคือ “คุณภาพ” ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องเลือกคุณเป็น No.1 ราคาต้องเหมาะสมที่กับสิ่งที่ได้รับ เกิดความประทับใจที่ตราตรึงไม่รู้ลืมเมื่อได้ใช้ อย่ากดราคาจนไม่น่าเชื่อถือ และอย่าตั้งสูงจนเกินความเป็นจริง แต่ถ้าของคุณอัดแน่นไปด้วย Quality คุณได้ลูกค้าแน่นอนไม่ว่ามันจะแพงแค่ไหน
2. กำหนดตำแหน่งสินค้าตามกลุ่มเป้าหมาย
สินค้าที่แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้นั้น กลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจน เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ตรงจุด ทั้งนี้ยังรวมถึงช่องทางการจัดจำหน่าย รูปลักษณ์แบรนด์ เพจ และเรามีจุดเด่นอะไรที่แตกต่างกว่าคู่แข่ง วางจุดให้ถูก คุณจะขายอะไรก็ได้ นอกจากนี้แล้วการทำ Brand Positioning หรือ ตำแหน่งทางการตลาด ยังเป็นการกำหนดลักษณะพิเศษในตัวสินค้าเพื่อกำหนดทิศทางให้ชัดเจน เพื่อให้สินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้องแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆได้ โดยเน้นว่า “สินค้าเราแก้ปัญหาอะไร ลูกค้าได้ประโยชน์อะไรจากสินค้าเรา”
ตัวอย่างเช่น เราอยากขายชา แต่ในท้องตลาดมีชาหลากหลายแบรนด์ ตั้งแต่ซองละไม่ถึงสิบจนหลักร้อย หลักพันบาท เราก็ต้องคิดต่อไปว่า เราจะขายให้คนที่แบบไหน ถ้าเรากำหนดว่า คนดื่มชาก็กว้างไป แต่ถ้าเราใส่ลักษณะเฉพาะให้แตกต่าง เช่น ชาเราสามารถช่วยควบคุมความดัน เบาหวาน สามารถชงร้อนและเย็นได้ (บางคนไม่สะดวกชงร้อนตลอด) เหมาะกับผู้รักสุขภาพและผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งกลุ่มนี้บางท่านยังติดชาแต่เพราะต้องควบคุมจึงทำให้ไม่สามารถดื่มได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่นำมาเป็นข้อกำหนดในตัวสินค้าได้ โดยอาจใส่สโลแกนเพื่อให้เกิดความจำได้ง่าย ดังนี้
1. กำหนดจากประโยชน์ เช่น ปวดหัว เป็นไข้ ซาร่า พาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม, ซอลล์ เค็ม..แต่ดี
2. กำหนดจากผู้ใช้สินค้า เช่น พาโรดอนแทกซ์ ยาสีฟันที่ทันตแพทย์ทั่วโลกแนะนำ, ไบกอน พลังในมือคุณ
3. กำหนดจากการเปรียบเทียบคู่แข่ง เช่น Think Different (คิดให้แตกต่าง) ของบริษัทแอปเปิ้ล
4. กำหนดจากคุณภาพหรือราคา เช่น นมตรามะลิ ใหม่สดเสมอ ขาวข้นหวานมัน, BigC ประหยัดกว่า ราคาถูกกว่า
จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งทางการตลาด ที่ดี ส่งผลต่อภาพลักษณ์และภาพจำเพียงไร ฉะนั้นในการวางกลยุทธ์จึงมีความสำคัญมากที่ต้องดึงเอาจุดเด่นของสินค้า มาสร้างสโลแกนให้ติดปาก ติดตา ติดสมอง และสินค้าของคุณก็จะครองใจผู้บริโภคไปอีกนาน